ความรู้เรื่องกล้องดิจิตอล

การเลือกซื้อกล้องดิจิตอล d_lobby_cicon.jpeg (2006 bytes)DiMAGE_A1_6048.jpeg (1749 bytes)DiMAGE_E323_6048.jpeg (3141 bytes)DiMAGE_Xt_6048.jpeg (2415 bytes)
a80thumb.gif (1453 bytes)DiMAGE_G500_6048.jpeg (2358 bytes)esystem.jpeg (3344 bytes)
d_lobby_eicon.jpeg (1759 bytes)s400thumb.gif (1335 bytes)DSC-P10.jpeg (21500 bytes)DiMAGE_Z1_6048.jpeg (1948 bytes)
DiMAGE_X20_wo_6048.jpeg (2232 bytes)              มีคนเปรียบเอาไว้ว่า การตลาดของกล้องดิจิตอลจะคล้ายๆ กับโทรศัพท์มือถือ โดยขณะนี้ธุรกิจกล้องดิจิตอลมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับโทรศัพท์มือถือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ซึ่งต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ทุกคนจะมีพกติดตัวเห็นได้โดยทั่วไป
ปัจจุบันตลาดกล้องดิจิตอลเติบโตอย่างรวดเร็วมาก จะเห็นได้จากยอดจำหน่ายจากปีที่แล้ว
สูงขึ้น 100%   และด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้กล้องรุ่นใหม่ๆ มีคุณสมบัติดีๆ   และราคาก็ถูกลง
ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะมีไว้ครอบครองด้วยประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลาย
ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า การจะเลือกซื้อกล้องดิจิตอลซักตัว จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้าง
เพื่อให้ได้กล้องที่ถูกใจและสมกับเงินที่เราต้องจายไป
เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมใช่ว่าจะมีความรู้เรื่องกล้องดิจิตอลอะไรมากมายนะครับ
อาศัยที่ว่าถามคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย หรือไม่ก็เปิดเนตศึกษาหาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แล้วรวบรวมมาให้อ่านพอได้อ่านเป็นแนวทางเบื้องต้นนะครับ   โดยผมจะจำแนกเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้
           1. งบประมาณ ตัวนี้ผมให้เป็นปัจจัยแรก ๆ เลยก็ว่าได้ ในการเลือกซื้อเราต้องตั้งงบประมาณเอาไว้ก่อนเลยว่า
เราอยากได้กล้องในวงเงินเท่าไหร่ ถ้าขืนเราไม่ตั้งเอาไว้ งบประมาณมีหวังบานปลาย แต่ก็อย่างว่าหละครับซื้อเทคโนโลยี
งบอาจจะบานปลายนิดๆ ก็ไม่ผิดอะไร   แต่ก่อนอื่นต้องตั้งงบไว้คร่าวๆ ก่อนดีกว่า เช่น ตั้งงบไว้ไม่เกิน 20,000 บาท
แต่พอศึกษาดูไปดูมาพบว่า เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยแต่ได้ของดังใจและยังได้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ก็จำเป็นจะต้องบานปลายนะครับ แต่อย่าเป็นอย่างนี้บ่อยนัก เดี๋ยวหนี้สินก็จะบานปลายตามไปด้วยจะหาว่าไม่เตือน
แต่ถ้าใครไม่เดือดร้อนเรื่องเงินหละก็   ผ่านๆ หัวข้อนี้ไปได้เลย เพราะถ้ามีเงินแล้ว จะซื้ออะไรก็ได้ตามใจปรารถนาสุดๆ
            2. ความละเอียดภาพ   ซึ่งปัจจุบันมีตั้งแต่ 2 ล้านพิกเซล ขึ้นไปจนเกิน 10 ล้านพิกเซล ซึ่งยิ่งความละเอียดสูง
ราคาก็สูงตามไปด้วย เรื่องความละเอียดนี่ถ้าเปรียบเทียบกับกล้องฟิล์มแล้วคนละเรื่องเลยนะครับ เพราะฟิล์มขนาด 35 mm
จะให้ความละเอียดที่สูงมากถ้าเทียบแล้วก็ประมาณกล้องดิจิตอลขนาด 10 ล้านพิกเซลขึ้นเลยทีเดียว กล้องที่ต่ำกว่า 2
ล้านพิกเซลปัจจุบันนี้หาซื้อได้ยากแล้ว เกือบจะไม่มีขายด้วยซ้ำ …..มีคำถามถามว่า “ความละเอียดมีความสำคัญยังไง”   ก็ขอตอบเลยว่ามีความสำคัญมากพอตัว   ซึ่งบางคนกล่าวว่า”แค่ความละเอียด 2 ล้านฯ ก็เพียงพอแล้ว ภาพชัดแจ๋ว ไม่จำเป็นจะต้องสูงมากมายอะไร”   ก็พูดถูกแต่ไม่ถูกทั้งหมดนะครับ มันขึ้นกับว่า ผู้ใช้จะนำรูปที่ถ่ายได้ไปทำอะไร เช่น
ภาพขนาด 1600 x 1200 = 1,920,000 พิกเซล หรือประมาณ 2 ล้านฯ สามารถนำไปใส่ในคอมพิวเตอร์เต็มๆจอ จะให้ภาพที่ชัดเจนสวยงาม และสามารถไปอัดเป็นภาพใส่กระดาษก็ได้โดยจะได้ขนาดภาพที่ใหญ่สุดคือ 4 x 6 นิ้ว ถ้าใหญ่กว่านี้จะไม่ได้ ภาพจะแตก และไม่คมชัด   วิธีคำนวนขนาดภาพที่จะนำไปอัดใส่กระดาษ มีวิธีคิดง่ายๆ ดังนี้ ให้เอา 300
ไปหารพิกเซลของความกว้างและยาวของภาพ เช่น ภาพขนาด 1600 x 1200    พอหารแล้วก็จะได้ 5.3 x 4 หน่วยจะเป็นนิ้ว
หรืออาจจะใช้ 250 หารก็ได้ ถ้าอยากได้ภาพขนาดใหญ่ขึ้นอีก แต่ความละเอียดจะลดลงไปบ้าง    ดังนั้นถ้าใครที่อยากจะ
ถ่ายภาพ แล้วไปอัดภาพขนาดใหญ่ ก็ต้องเลือกกล้องที่มีพิกเซลสูงๆ เช่นอัดภาพขนาด 6×8 นิ้ว   จะต้องใช้ความละเอียด
4 ล้านพิกเซลเลยทีเดียว   และอีกอย่างที่จะบอกคือในกล้องระดับพิกเซลที่เท่ากัน ในความเป็นจริงแล้ว
ในบางรุ่นความละเอียดก็ไม่เท่ากัน เช่น กล้อง 4 ล้านพิกเซล 2 ยี่ห้อ ตัวแรกถ่ายได้สูงสุด 2288×1712 = 3,917,056
อีกตัวถ่ายได้สูงสุด  2,272 x 1,704 = 3,871,488  ซึ่งเป็นกล้อง 4 ล้านพิกฯเหมือนกันแต่ภาพจะไม่เท่ากัน
ก็ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

             3. ความหลากหลายของขนาดภาพ เช่นในกล้องชนิด 4 ล้านพิกฯ   ควรจะถ่ายได้หลาย ๆ ขนาดเช่น
– 2288 x 1712 พิกเซล ( 4 ล้านพิกเซล)
– 2048 x 1536 พิกเซล  ( 3 ล้านพิกเซล)
– 1600 x 1200พิกเซล  (2 ล้านพิกเซล)
– 1280 x 960 พิกเซล  (1 ล้านพิกเซล)
แต่จะมีกล้องบางรุ่นที่ไม่สามารถถ่าย 3 ล้านได้   อันนี้ก็แล้วแต่ผู้ที่จะซื้อนะครับว่าจำเป็นมากน้อยแค่ไหน

              4. ฟอร์เมตของภาพบันทึก   อ่านดูแล้วอาจจะงงๆ ว่ามันหมายถึงอะไร มันคือลักษณะภาพที่ถูกบันทึก
โดยปัจจุบันกล้องเกือบทุกตัวบันทึกในรูปแบบไฟล์ JPEG   ซึ่งเป็นภาพที่ถูกบีบอัดลงมาเพื่อให้มีขนาดเล็กลง
แต่คุณภาพของภาพยังคงไม่ด้อยลงไปมากนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับว่ามีการบีบอัดลงมากน้อยเพียงใด กล้องทั่วๆ
ไป สามารถตั้งค่าคุณภาพของภาพได้ เป็นการเซ็ตค่าการบีบอัดนั่นเอง เช่น ภาพคุณภาพดีที่สุด จะถูกบีบเหลือ 80 %
ภาพคุณภาพดีมาก จะถูกบีบเหลือ 60% ,ภาพคุณภาพดี จะถูกบีบเหลือ 50% เป็นต้น   ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาอธิบายให้ฟัง
นั้นเพราะว่า มันจะควบคู่ไปกับความละเอียดของภาพซึ่งได้กล่าวเอาไว้แล้วในหัวข้อที่สอง   โดยกล้องบางรุ่นยังสามารถ
เก็บภาพในฟอร์เมตที่ยังไม่ได้บีบอัดเป็นภาพค่าจริง เรียกว่า RAW FORMAT   ซึ่งได้แก่พวกที่นามสกุล TIFF
ซึ่งภาพเหล่านี้จะมีความละเอียดสูง โดยที่กล้องขนาด 4 ล้านพิกเซล เมื่อถ่านในโหมด Raw format
จะสามารถนำไปอัดเป็นภาพเท่าขนาดกระดาษ A4 (8″x12″) ได้สบาย

              5. การซูม ในกล้องดิจิตอลมีการซูมอยู่ 2 แบบคือ optical zoom และ digital zoom  โดย digital zoom จะเป็นการนำภาพที่ได้มาขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณภาพของภาพลดลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว digital zoom จะไม่นำมาใช้ในการถ่ายภาพมากนัก   เพราะเราสามารถให้ software ในคอมพิวเตอร์ขยายภาพได้เช่นกัน   ในเรื่องการซูมสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ optical zoom เพราะเป็นการซูมจากวัตถุโดยตรงผ่านทางเลนส์ ทำให้คุณภาพของภาพยังมีคุณภาพดีเช่นเดิม เพราะฉะนั้นในการเลือกกล้องให้ดูที่ขนาดการซูมของ optical zoom เป็นสำคัญ ซึ่งเป็นธรรมดาสิ่งที่ยิ่งมากก็ยิ่งดี(แต่ก็ไม่เสมอไปในกล้องที่ไม่มีคุณภาพ)   ส่วน digital zoom ไม่ต้องสนใจเลยครับ ปัจจุบัน optical zoom ส่วนใหญ่ของกล้องจะอยู่ที่ 3x – 4x   จะมีบางรุ่นที่สามารถทำได้สูงถึง 5x -12x  เช่น

Panasonic รุ่น DMC-FZ1K
optical zoom = 12x
dmc-fz1k.jpeg (24024 bytes)
Olympus รุ่น c750
optical zoom = 10x
huge910.jpeg (11662 bytes)
Minolta รุ่น DiMAGE Z1
optical zoom = 10x
DiMAGE_Z1.jpeg (6971 bytes)
Sony รุ่น DSC-F717
optical zoom = 5x
 
DSCF717.jpeg (5598 bytes)

            คำเตือน ในการโฆษณาของกล้องดิจิตอลบางที่พูดเอาไว้รวมๆ ในเรื่องการ zoom เช่นซูมได้ 6x   ซึ่งในความจริงแล้ว  optical zoom อาจได้แค่ 2x และ digital zoom ได้ 3x และเมื่อรวมกันจะได้ 6x   ดังนั้นให้ดูที่ค่าของ optical zoom   เป็นหลัก

http://vet.kku.ac.th/digi_came/digitl_camera.htm